Search Tire

Categories of Tires


Statistic
 วันนี้
95 คน
 เมื่อวาน
472 คน
 เดือนนี้
2,007 คน
 เดือนที่แล้ว
12,970 คน
 ปีนี้
58,080 คน
 ปีที่แล้ว
188,292 คน
บทความทั้งหมด


LPG , NGV , E20 , E85 ในยุคที่น้ำมันแพงอย่างนี้ จะเลือกใช้อะไรดี?

LPG , NGV , E20 , E85 ในยุคที่น้ำมันแพงอย่างนี้ จะเลือกใช้อะไรดี?

ในสภาวะที่ราคาน้ำมันทยานขึ้นสูงลิบฟ้า ซึ่งมีแต่จะขึ้นไปเรื่อย แพงขึ้นทุกวัน ผู้ใช้รถต้องแบกภาระค่าน้ำมันกันจนไหล่แทบทรุด เวลาจะเติมน้ำมันเต็มถังที ก็ต้องควักเงินหลักพันกันเลยทีเดียว ทำให้หลายคนเริ่มมองหาทางเลือกในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งทางออกหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ขณะนี้เห็นจะไม่พ้น การเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกต่างๆ อย่างก๊าซ LPG,NGV หรือน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E20 , E85 ที่มีราคาถูกกว่ากันเยอะ แต่ก็มักมีคำถามตามมาอีกว่า... "แล้วจะใช้เชื้อเพลิงอะไรดี ปลอดภัยหรือไม่ จะระเบิดหรือป่าว...?" บทความนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียของพลังงานทางเลือกต่างๆเหล่านี้

 

ก๊าซแอลพีจี คืออะไร?
    ก๊าซแอลพีจี (Liquefied Petroleum Gas: LPG) หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คือ พลังงานธรรมชาติประเภทหนึ่งที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในนาม "ก๊าซหุงต้ม" เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เบากว่าน้ำแต่หนักกว่าอากาศจึงลอยอยู่ในระดับต่ำ มีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น เมื่อมีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัย หากเกิดการรั่วไหลขึ้น
    ในบ้านเราก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ได้มาจากการกลั่นน้ำมันและบ่อก๊าซธรรมชาติ ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน(ปตท. ยังมีเหลือจัดส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วยนะ) ก๊าซหุงต้มมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้ก็คือ เป็นก๊าซที่มีค่าอ็อกเทนสูงโดยธรรมชาติ มีสอง    สถานะคือ มีสภาพเป็นก๊าซและเป็นของเหลว ซึ่งก๊าซแอลพีจีจะถูกบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังภายใต้แรงดันสูง (แต่ยังต่ำกว่า เอ็นจีวี) เพื่อให้ขนถ่ายง่าย เมื่อนำไปใช้งานจะกลายสภาพเป็นไอ
    นอกจากจะนิยมใช้แอลพีจีในครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำก๊าซแอลพีจีมาใช้แทนน้ำมันเบนซิน ในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่าและมีค่าออกเทนสูงถึง 105 ทำให้เมื่อนำมาใช้กับรถยนต์แล้ว มีประสิทธิภาพสูง สมรรถนะทัดเทียมกับรถที่ใช้ระบบน้ำมันเดิม จนผู้ขับขี่ไม่มีความรู้สึกแตกต่างระหว่างการใช้น้ำมันหรือก๊าซแอลพีจี

คุณสมบัติของก๊าซแอลพีจี
    1. ก๊าซแอลพีจี อยู่ในรูปของเหลว และมีความดันต่ำ ถังก๊าซแอลพีจีมีความหนาผนังมากกว่าถังน้ำมันเบนซินมาก ทำให้โอกาสที่จะเกิดการระเบิด จากถังเนื่องจากการชนเป็นไปได้น้อย
    2. ก๊าซแอลพีจี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้
    3. ก๊าซแอลพีจี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
    4. ราคาค่าก๊าซถูกกว่าน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ทั้งปัจจุบันและอนาคต
    5. ช่วยป้องกันปัญหาที่เรียกว่ารถกินน้ำมันเครื่อง เพราะการสึกหรอของชิ้นส่วน เมื่อใช้ก๊าซมีน้อยกว่า
    6. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
    7. เครื่องยนต์เดินได้ราบเรียบกว่าในรอบที่ต่ำกว่า ถ้าหากได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธี

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ LPG ในรถยนต์
    1. ต้องรู้ว่าก๊าซหุงต้มคือ ก๊าซ ที่หนักกว่าอากาศ เมื่อมีการรั่วซึมจะเกาะกลุ่มกันอยู่บนพื้นในระดับต่ำ
    2. ควรจะต้องตรวจเช็คการรั่วซึมตามจุดต่างๆ อย่างน้อยปีละสองครั้ง
    3. ก่อนที่จะมีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ในระบบก๊าซจะต้องปิดวาวล์ที่ถังก๊าซให้สนิท
    4. จะต้องไม่เติมก๊าซมากกว่าร้อยละแปดสิบของความจุของถัง
    5. ในการเติมก๊าซทุกครั้งอาจจะมีการรั่วซึมออกมานิดหน่อยตรงหัวเติมก๊าซ ให้ระวังประกายไฟในขณะนั้น
    6. การจอดรถหลังเลิกใช้งานเมื่อจอดรถในที่จอด เช่น โรงรถ ควรจะปิดวาวล์ที่ถังแกส
    7. โรงจอดรถถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยเฉพาะในระดับพื้นดินต้องโปร่งโล่ง
    8. ถ้าจะนำรถที่ใช้ก๊าซเข้าตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามปกติ ควรจะให้มีก๊าซในถังเหลือน้อยที่สุด
    9. ในรถรุ่นที่ต้องปรับตั้งลิ้นไอดีไอเสียแบบกลไก ก็จะต้องมีการปรับตั้งระยะห่างของลิ้นตามปกติอย่างเข้มงวด
    10. LPG จะถูกเผาไหม้ช้ากว่าน้ำมันเบนซิน การปรับตั้งไฟจุดระเบิดจึงต้องปรับตั้งล่วงหน้าเพื่อจะเผาไหม้ได้หมดจด
    11. LPG ต้องใช้ประกายไฟจากหัวเทียนเข้มข้นกว่าที่ใช้ในน้ำมันเบนซิน จึงต้องเลือกใช้หัวเทียนให้ถูกต้องกับค่าความร้อน
    12. LPG มีค่าอ็อกเทนประมาณ 91 ถึง125 รถที่จะติดตั้งก๊าซหุงต้ม ควรจะมีอัตราส่วนกำลังอัดตั้งแต่ 10:1 ขึ้นไป จึงจะใช้ประสิทธิภาพของก๊าซได้อย่างคุ้มค่า
    อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ใช้ LPG ถ้าวิเคราะห์กันในเรื่องของความปลอดภัยแล้ว มีความปลอดภัยไม่น้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนทั้งหน้าหรือท้ายรถ วาล์วนิรภัยจะทำการปิดล็อคทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อมีก๊าซรั่วไหลออกจากถังในอัตราที่ผิดปกติจากการใช้งาน     ในขณะที่ถังน้ำมันเบนซิน เมื่อถูกชนยังมีโอกาสแตกรั่วทำให้น้ำมันรั่วไหลลงพื้น
    ก่อนนำรถที่ใช้งานอยู่เป็นประจำไปติดตั้งก๊าซแอลพีจี ควรจะปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเสียก่อน รถยนต์ทุกวันนี้แม้จะเป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลที่สูง อุปกรณ์ในการติดตั้งก๊าซ และกรรมวิธีในการติดตั้งก็ได้รับการพัฒนาให้ตามทันกับการพัฒนาของรถยนต์ ไม่ว่าจะ    เป็นการติดตั้งในระบบดูดหรือในระบบฉีด ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้งานอีกต่อไป การวิตกกังวลกับเรื่องการสึกหรอของเครื่องยนต์เมื่อใช้ก๊าซนั้นในเทคโนโลยีของปัจจุบัน ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิดกันอีกต่อไป
    ในประเทศอื่นทั่วโลก มีรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซ LPG ที่ใช้ร่วมกับน้ำมันเบนซินมากเป็นล้านๆ คันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะก๊าซ คือพลังงานที่สะอาด และประหยัด อย่ารอช้าหากท่านคิดจะติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ของท่าน เพราะในภาวะที่ราคาของน้ำมันมีแต่ปรับราคาขึ้นเป็นรายวัน ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้ ติดตั้งก๊าซ น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการติดตั้งก็ตาม



ก๊าซเอ็นจีวีคืออะไร
    ก๊าซเอ็นจีวี (Natural Gas for Vehicle: NGV) มีภาษาเชิงวิชาการว่า ก๊าซซีเอ็นจี (Compressed Natural Gas: CNG)  คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี "มีเทน" เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่งในบางประเทศเรียกว่า "ก๊าซธรรมชาติอัด" (ซีเอ็นจี) ซึ่งถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ

คุณสมบัติของก๊าซเอ็นจีวี
    1. อุณหภูมิติดไฟของก๊าซเอ็นจีวีนั้นสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ติดไปยาก ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้เมื่อก๊าซรั่วหรืออุบัติเหตุ
    2. ก๊าซเอ็นจีวี ถูกจัดเก็บอยู่ในรูปไอ ซึ่งมีแรงดันสูง จึงทำให้ไม่มีอากาศเข้าไปผสม จึงไม่ก่อให้เกิดการผสมกันระหว่างก๊าซ จึงลดโอกาสในการติดไฟและระเบิดได้
    3. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และไม่ก่อให้เกิดการสกปรกของน้ำมันเครื่อง จึงสามารถยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องได้
    4. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้
    5. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ส่งผลเสียต่อลูกสูบและกระบอกสูบ ทำให้เกิดการหล่อลื่นที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
    6. ก๊าซเอ็นจีวี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
    7. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงช่วยลดมวลไอเสีย และส่งผลต่อการลดมลพิษในอากาศโดยตรง
    8. มีสัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นและมีคุณสมบัติเป็นก๊าซ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น
    9. เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน จึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
    10. เป็นเชื้อเพลิงที่สามารถผลิตได้ในประเทศ จึงมีราคาถูกกว่าน้ำมัน และสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ
    11. เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เพราะมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ดังนั้นเมื่อเกิดรั่วไหล ก๊าซเอ็นจีวีจะไม่สะสมอยู่บนพื้นดินจนเกิดการลุกไหม้เหมือนเชื้อเพลิงอื่นๆ และอุณหภูมิที่จะทำให้ก๊าซเอ็นจีวีสามารถลุกติดไฟในอากาศเองได้ก็ต้องสูงถึง 650 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อด้อยนั้นรถยนต์ที่จะใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ต้องเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานก๊าซเอ็นจีวีโดยเฉพาะ หรือไม่ก็ต้องเป็น "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" หรือ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" ที่ผ่านการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้เครื่องยนต์ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซเอ็นจีวี
ปัจจุบันอุปกรณ์สำหรับการดัดแปลงเครื่องยนต์ดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" (ดีเซล-เอ็นจีวี) มีราคาสูงถึง 400,000-500,000 บาท และอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" (เบนซิน-เอ็น    จีวี) มีราคา 30,000-50,000 บาท นอกจากนี้ รถเอ็นจีวีจะมีกำลัง "ต่ำ" กว่ารถทั่วไปตามท้องตลาด แต่ถ้าวิ่งในเมืองปัญหาข้อนี้จะไม่มีผลกระทบมากนัก
รู้จักก๊าซธรรมชาติทั้งสองชนิดกันแล้ว ทีนี้เราจะมาเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของก๊าซทั้งสองชนิดให้เห็นกันแบบชัดๆ เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจค่ะ...
    
จุดเด่นของแอลพีจี
    1. ค่าติดตั้งถูกกว่า ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ถ้าเป็นระบบดูดก๊าซ (Mixer) มีค่าใช้จ่าย 15,000-28,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ (Injection) มีค่าใช้จ่ายราวๆ 35,000-43,000 บาท
    2. มีความจุก๊าซมากกว่า กล่าวคือ ถังก๊าซที่มีขนาดเท่ากัน แต่แอลพีจีสามารถบรรจุปริมาณก๊าซได้มากกว่า
    3. มีสถานีบริการ จำนวนแพร่หลายมากกว่า

ข้อด้อยแอลพีจี   
    1.  เป็นก๊าซที่ติดไฟง่ายกว่าเอ็นจีวี มีราคาสูงกว่า
    2. ภาครัฐมีแผนที่จะปล่อยราคาก๊าซให้ลอยตัวเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ก๊าซแอลพีจี มีราคาสูงขึ้นอีกในอนาคต

จุดเด่นของก๊าซเอ็นจีวี
    1. ภาครัฐให้การสนับสนุน มีนโยบายในเรื่องของการกำหนดราคา ทำให้ราคาอยู่ในการควบคุม
    2. มีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี ประกอบจากโรงงานโดยตรง
    3. ปลอดภัยกว่า ทั้งในแง่คุณสมบัติของมันเองที่เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหล ก็จะฟุ้งกระจายไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว และอู่ที่รับติดตั้งเอ็นจีวี ผ่านการรับรองจาก ปตท.

ข้อด้อยก๊าซเอ็นจีวี  
    1. เรื่องสถานีบริการมีจำนวนน้อย โดยขณะนี้มีสถานีบริการเอ็นจีวีที่เปิดให้บริการแล้วจำนวน 176 แห่ง และกำลังจะเปิดอีก 59 แห่งในปีนี้
    2. ค่าติดตั้งค่อนข้างสูง โดยระบบดูดก๊าซจะมีค่าใช้จ่าย 38,000-43,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ เป็นระบบที่มีอีซียู ควบคุมกรจ่ายก๊าซตามลำดับการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 58,000-63,000 บาท
    ได้รับข้อมูลเบื้องต้นกันไปแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณๆ ที่จะต้องตัดสินใจกันเองแล้วหละค่ะว่า จะเลือกพลังงานทางเลือกชนิดใด


แก๊สโซฮอล์ E20
    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แก๊สโซฮอล์ ก็คือน้ำมันเบนซินผสมแอลกอฮอล์ มาจากคำว่าแก๊สโซลีน (เป็นสำนวนของอเมริกันที่เรียกน้ำมันเบนซิน) เมื่อบวกกับแอลกอฮอล์ก็เลยเรียกว่า แก๊สโซฮอล์ ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊สหรือก๊าซที่ในสำนวนไทยหมายถึงไอระเหยของของเหลว อันที่จริงเราน่าจะเรียกกันว่า เบนโซฮอล์     ก็จะเข้าใจง่ายขึ้น แต่ก็เอาเถอะ ดั้งเดิมของเขาเรียกกันอย่างนั้น จากประเทศเริ่มต้น ที่เริ่มใช้กันในบราซิลมานานกว่า 30 ปีมาแล้ว
    แรกๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นกับเชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้ เพราะสามารถเอาเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ จากพืชผลทางการเกษตร เช่น น้ำตาลหรือมันสำปะหลัง สำหรับประเทศที่มีพื้นที่ เกษตรเป็นจำนวนมาก จนผลิตผลล้นตลาดจนขายไม่ออก เมื่อของมันล้น ก็หาทางเบี่ยงเบนไปใช้ เพื่อให้ผลิตผลมีทางออก และเป๊นการพยุงราคามิให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ ก็นับว่าเป็นผลดี แต่สำหรับประเทศที่ไม่สามารถผลิตผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างเพียงพอ การเอาของที่กินได้มาเติมรถ จึงเป็นการไม่สู้จะเหมาะสมนัก เท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าว่า ประเทศสหรัฐ ในเขตพื้นที่ของแคลิฟอร์เนีย ก็ยังไม่มีน้ำมันแก๊สโซฮอล์จำหน่าย คงจะมีบ้างในเขตพื้นที่แถวกลางๆ ประเทศนั่นแหละ ที่มีการเพาะปลูกพืชเป็นจำนวนมาก
    การผลิตแอลกอฮอล์จากอ้อยก็มีต้นทุนสูงไม่น้อย เพราะกว่าอ้อยจะโตขึ้นมา ก็ต้องใช้เวลาเพาะปลูก อีกทั้งยังจะต้องใส่ปุ๋ย พรวนดิน และต้องมีการปรับสภาพผิวดินอยู่เสมอ เพราะเมื่อปลูกสัก 2 ครั้ง ไปแล้ว ก็เริ่มจะขาดสารอาหารในดิน จนไม่สามารถจะเพาะปลูกพืชอื่นได้ ในบางพื้นที่ก็มีการสลับการปลูกพืช ประเภทถั่วเพื่อปรับปรุงสภาพผิวดินให้มี คุณภาพคืนมาบ้าง สำหรับพืชประเภทมันสำปะหลัง ก็ถือได้ว่าเป็นพืชที่กินดิน เพราะเมื่อปลูกไปแล้วสักระยะ ดินก็จะจืดจนปลูกพืชอื่นไม่ได้เช่นกัน การปลูกพืชเหล่านี้ในระยะยาวจะมีผลทำให้ไม่สามารถปลูกพืชอื่นได้ แม้ตัวของมันเองก็จะไม่ค่อยงามเหมือนตอนปลูกใหม่ๆ
    เมื่อเอาพืชผลทางเกษตรมาผลิตเป็นเอทานอลได้แล้ว ก็จะได้เป็นสูตรเคมีดังนี้ C2H 5OH คิดเป็นอัตราส่วนของธาตุโดยมวล C:H:O= 52.2:13.1:34.5 คือคาร์บอน 52.2% ไฮโดรเจน 13.1% และออกซิเจน 34.5 มีค่าออกเทนที่ Ron 107 จะมีจุดเดือดที่ 78 C จึง ระเหยได้ง่าย ละลายในน้ำได้ดีในทุกอัตราส่วน เช่นเดียวกับเหล้าที่ผสมน้ำหรือโซดาที่เราดื่มกิน แต่การที่จะผสมกับน้ำมันเบนซินก็จะเข้ากันได้ยาก จำเป็นจะต้องเติมสารประเภทยึดเหนี่ยวเพื่อให้แอลกอฮอล์สามารถผสมกับเบนซิน ได้ ข้อแตกต่างจากสูตรเคมีของเบนซินจะมีเพียง C กับ H คือคาร์บอนกับไฮโดรเจนเท่านั้น การที่มี O หรือ ออกซิเจนอยู่ในเชื้อเพลิง ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการจ่าย จำเป็นจะต้องเป็นวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเท่านั้น
    สำหรับในรถยนต์รุ่นเก่าๆ จะไม่ได้ใช้วัสดุเหล่านี้เลย เพราะเชื้อเพลิงไม่มีออกซิเจนในตัว อีกทั้งยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้น คงใช้ถังเชื้อเพลิงที่เป็นเหล็กและเคลือบด้วยตะกั่วหรือสังกะสี ส่วนระบบส่งเชื้อเพลิงและระบบจ่ายก็ยังเป็นอะลูมิเนียม หรือ ซิงค์ ดาย ดาส อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกกัดกร่อน อีกทั้งส่วนที่เป็นท่อยาง หรือ ซีล โอริงส์ ก็จะเกิดการบวมและทำให้รั่วซึมจนชำรุดในที่สุด สำหรับยางสังเคราะห์ที่ทำขึ้นเพื่อใช้กับแอลกอฮอล์ ก็ไม่สามารถใช้กับน้ำมันปิโตรเลียมได้ เพราะมันบวมอืด เหมือนอย่างยางหนังสะติ๊กแช่น้ำมันเบนซินหรือน้ำมันก๊าด ใช้เวลาไม่นานนักมันจะบวมเป็นวงโตมาก แต่ถ้าแช่ในแอลกอฮอล์ มันจะอยู่กันได้ ทีนี้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มันมีทั้งสองอย่าง วัสดุที่เป็นยางจึงต้องมีสูตรผสมพิเศษยิ่งกว่าและมีราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว
    แก๊สโซฮอล์ที่มีจำหน่ายแล้วเวลานี้ก็คือ E10 นั่นก็คือมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย 10% ที่ออกมาใหม่ปีนี้จะเป็น E20 หมายถึงจะมีส่วนผสมถึง 20% และจะมีราคาถูกลงไปอีก ในส่วนนี้ก็นับว่ามีอาการแปลกๆ เอาแค่ E10 ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 10% ทำให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่า 95 ธรรมดากว่า 10% ได้ ในส่วนนี้ถ้าพิจารณาโดยหลักการค้าแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร? เท่ากับว่าแอลกอฮอล์ที่ผสมเพิ่มเข้าไปแทนที่ 10% เป็นของที่ได้มาเปล่าๆ ไม่มีราคาอะไร หรือเป็นการชดเชยทางภาษี เพื่อต้อนประชาชนไปใช้ หรือไม่ก็เป็นการเพิ่มราคาเบนซิน 95 เพื่อให้ไม่น่าใช้ ตรงนี้ไม่สามารถเดาได้ว่า ยิ่งผสมมากก็ยิ่งถูกลง ถ้ามันเป็นเช่นนี้จริง ก็จัดจำหน่าย E100 ไปเลย อาจจะเติมฟรีด้วยก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เครื่องยนต์ที่จะใช้แอลกอฮอล์ล้วนสามารถสร้างได้
    เชื้อเพลิงชนิดนี้สามารถให้พลังงานกับเครื่องยนต์ได้มาก โดยไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย เนื่องจากค่าความร้อนน้อย การเผาไหม้มีอุณหภูมิต่ำกว่าเบนซิน ก็ตัดปัญหาเรื่องลูกสูบละลายไปได้มาก อีกทั้งยังจะต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิงที่มีอัตราส่วนสูงกว่าเบนซินถึง 2 เท่าตัว เช่นเครื่องเบนซินอยู่ในเกณฑ์ 11-15:1 กับอากาศ สำหรับแอลกอฮอล์จะต้องให้ส่วนผสมอยู่ที่   6-7:1 คือ 2 เท่า ของเบนซินและเชื้อเพลิงชนิดนี้มีการดูดซับความร้อนได้ดีมาก
    เมื่อฉีดเชื้อเพลิงผสมกับอากาศ ก็จะทำให้ลดอุณหภูมิของอากาศได้จนต่ำกว่า 0? เพราะในขณะที่เครื่องยนต์สตาร์ทติดใหม่ๆ ยังไม่มีความร้อน ท่อไอดีจะเย็นมากจนน้ำแข็งเริ่มจับ มันเป็นอาการเดียวกับเวลาที่เราจะถูกฉีดยาแล้วใช้แอลกอฮอล์เช็ดผิวก่อน ตรงนี้จะมีความรู้สึกเย็น การลดอุณหภูมิของอากาศที่จะเข้าเครื่องยนต์ได้มาก ก็ยิ่งจะทำให้ความหนาแน่นของอากาศมีมวลสูง คือมีเม็ดอากาศถูกบรรจุในกระบอกสูบได้มาก เครื่องยนต์ก็ให้แรงม้าได้มาก มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว



ความรู้เรื่องเชื้อเพลิง E85
    พลังงานในรูปของเชื้อเพลิงทดแทนจากเอทานอลกำลังเข้ามาช่วยให้การใช้รถยนต์ของคนไทยมีความประหยัดมากยิ่งขึ้น รถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิวที่มีขายในประเทศได้เข้ามาทำให้ทางเลือกในการเติมเชื้อเพลิงมีความหลากหลาย เชื้อเพลิงทางเลือกเอทานอลยังรักษาสภาพแวดล้อมเนื่องจากปล่อยมลพิษน้อยกว่าเชื้อเพลิงเบนซินปกติทั่วไป...
    น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีตัวอักษร E นำหน้า  หมายถึงการผสมผสานระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินและเอทานอล  หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่าแก๊สโซฮอล์ สำ
น้ำมัน,LPG,ประหยัดน้ำมัน
<<ก่อนหน้า ถัดไป>>
Facebook Twitter Google Digg Reddit LinkedIn Pinterest StumbleUpon Email